เมนู

เทพบุตรนั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้า
เกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ได้เป็นอุบาสกของพระผู้
มีจักษุ เป็นผู้งดเป็นจากปาณาติบาต งดเว้นจากอทิน-
นาทานในโลก ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่กล่าวเท็จ และยินดี
ด้วยภริยาของตน มีจิตเลื่อมใส เมื่อบริจาคข้าวน้ำ
ได้ถวายทานอย่างไพบูลย์โดยเคารพ เพราะบุญนั้น
วรรณะของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ ฯ ล ฯ และวรรณะ
ของข้าพเจ้าจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

จบทุติยนาควิมาน

อรรถกถาทุติยนาควิมาน


ทุติยนาควิมาน มีคาถาว่า มหนฺตํ นาคํ อภิรุยฺหํ เป็นต้น. ทุติยนาค
วิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์
สมัยนั้น อุบาสกคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ เป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใสตั้งอยู่
ในศีล 5 สมาทานอุโบสถศีลในวันอุโบสถ เวลาก่อนอาหาร ถวายทาน
แด่ภิกษุทั้งหลาย ทามสมควรแก่สมบัติของตน แล้วจึงบริโภคเอง นุ่งห่ม
ผ้าสะอาด เวลาหลังอาหาร โดยมากให้คนถือน้ำอัฐบานไปวิหาร มอบ
ถวายแด่ภิกษุสงฆ์แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรม เขา
สั่งสมสุจริตมากทั้งด้านทานและด้านศีล โดยเคารพด้วยอาการอย่างนี้ จุติ

จากภพนี้ เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ช้างทิพย์ใหญ่เผือกปลอด ได้
ปรากฏด้วยบุญญานุภาพของเขา เขาขี่ช้างนั้นไปเล่นอุทยานเสมอ ๆ ด้วย
บริวารเป็นอันมาก ด้วยทิพยานุภาพยิ่งใหญ่.
ภายหลังวันหนึ่ง เทพบุตรนั้นถูกความกตัญญูเตือน เวลาเที่ยงคืน
ขี่ช้างทิพย์นั้นมาจากเทวโลกด้วยบริวารใหญ่ ด้วยหวังว่า จักถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้า เปล่งรัศมีสว่างทั่วพระเวฬุวัน ลงจากคอช้าง เข้าไป
เฝ้าถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ ณ ที่สมควร
ส่วนหนึ่ง ท่านพระวังคีสะยืนอยู่ใกล้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ขอ
อนุญาตพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ถามเทพบุตรนั้น ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ท่านขี่ช้างใหญ่เผือกปลอดเป็นช้างอุดม แวด-
ล้อมไปด้วยหมู่อัปสร เที่ยวไปตามอุทยานต่าง ๆ
ทำให้สว่างไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เพราะ
บุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญ
อะไร ผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่าง
ที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูก่อนเทวะผู้มีอานุภาพมาก ครั้งเกิดเป็นมนุษย์
ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมี
อานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่าง
ไสวไปทุกทิศ.

เทพบุตรแม้นั้นถูกถามอย่างนั้นแล้ว ได้พยากรณ์แก่ท่านพระวังคีสะ
นั้นด้วยคาถาหลายคาถาอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์
ทั้งหลายจึงกล่าวว่า

เทพบุตรนั้นดีใจ ถูกพระวังคีสะถามแล้ว ก็
พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้า
เกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ได้เป็นอุบาสกของพระผู้
มีจักษุ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นจาก
อทินนาทานในโลก ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่กล่าวเท็จ และ
ยินดีด้วยภริยาของตน มีจิตเลื่อมใส เมื่อบริจาคข้าว
น้ำได้ถวายทานอย่างไพบูลย์โดยเคารพ เพราะบุญนั้น
วรรณะของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผล
อันนี้จึงสำเร็จแก่ข้าพเจ้า และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก
จึงเกิดแก่ข้าพเจ้า.

ข้าแต่ภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ครั้งเกิดเป็นมนุษย์
ข้าพเจ้าได้ทำบุญใดไว้ เพราะบุญนั้น ข้าพเจ้าจึง
มีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของข้าพเจ้าจึง
สว่างไสวไปทุกทิศ.

ในเรื่องนั้น ไม่มีเรื่องที่ไม่เคยมี คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วใน
หนหลังนั่นแล.
จบอรรถกถาทุติยนาควิมาน

12. ตติยนาควิมาน


ว่าด้วยตติยนาควิมาน


บุรุษผู้เป็นบัณฑิตถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
[62] ใครหนอมีช้างเผือกปลอดเป็นยานทิพย์
มีดนตรีประโคมกึกก้อง เขาฉลองกันอยู่ในอากาศ
ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะผู้ให้
ทานในกาลก่อน พวกเราไม่รู้ ขอถามท่าน พวกเรา
จะรู้จักท่านได้อย่างไร.

เทพบุตรกล่าวว่า
เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าว
สักกะผู้ให้ทานในกาลก่อน ข้าพเจ้าเป็นเทพองค์หนึ่ง
ในบรรดาเหล่าเทพที่ชื่อสุธัมมา.

บุรุษผู้เป็นบัณฑิตถามว่า
เราทั้งหลายกระทำอัญชลีกรรมอย่างใหญ่ ขอ
ถามเทพพวกสุธัมมา คนทำกรรมอะไรในมนุษยโลก
จึงจะเข้าถึงเทพพวกสุธัมมา.

เทพบุตรกล่าวว่า
ผู้ใดถวายอาคารอ้อย อาคารหญ้า และอาคาร